Computer Network & Internet


Computer Network & Internet


Network
Network คือ การเชื่อมต่อของ computer ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป โดยระบบเครือข่ายไม่จำเป็นต้องเป็น PC หรือlaptop เท่านั้น โดยอาจเป็น PDA หรือ Mobile Phone ก็ได้
ประโยชน์ของ Network คือสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ โดยการ share หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล การใช้ printer ร่วมกัน การติดต่อสื่อสารกัน
Network สามารถแบ่งตามโครงสร้างได้ 2 ประเภท คือ
1) Peer to Peer เป็นระบบเครือข่ายขนาดเล็ก เหมาะสำหรับหน่วยงาน ที่มีคอมพิวเตอร์น้อยกว่า 10 เครื่อง ระบบ Peer to Peer นี้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถเข้าไปใช้ไฟล์ที่เก็บบนเครื่องไหนก็ได้ เช่น Home Network, Bit torrent
flickr:5263570944
2) Client / Server ระบบโครงข่ายที่มีเครื่อง computer อยู่ 2 ชนิด คือ
2.1) แม่ข่าย หรือ Server เป็นตัวกลางทำหน้าที่ในการเก็บ resource เช่น service, ข้อมูล
2.2) ลูกข่าย หรือเครื่อง computer ที่เราใช้ทำงาน
ตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่เราเชื่อมต่อระบบ Internet จะมีการเชื่อมต่อไปยัง ISP ซึ่งก็คือ Server และเครื่องเราก็คือ Client
flickr:5263573936
เปรียบเทียบระหว่าง Peer to Peer กับ Client / Server: Peer to Peer จะติดตั้งได้ง่ายกว่า ดูแลง่ายกว่า ปลอดภัยต่ำกว่า ค่าใข้จ่ายต่ำกว่า ใช้ในองค์กรขนาดเล็ก
ประเภทของ Server
•File Server ใช้ในการ share file
•Web Server ให้บริการ web page
•Database Server ให้บริการฐานข้อมูล
•Mail Server ให้บริการรับส่ง e-mail
•DNS Server ทำหน้าที่เหมือนสมุดโทรศัพท์ แปลง domain name ให้เป็น IP Address
•Print Server ให้บริการ printer
•Authentication Text Server กระบวนการ log in ระบุตัวตนผู้ใช้
•Application Server ให้บริการ application software
Network สามารถแบ่งประเภทตามสื่อ (Transmission Media) ได้เป็น 2 ระบบ คือ
1)Wire Network (มีสาย) ข้อมูลจะถูกแปลงออกมาเป็นหลักๆคือกระแสไฟฟ้าหรือว่าแสง
•Twisted Pair Cable สายคู่บิดเกลียว – DSL พัฒนามาจากสายโทรศัพท์ ข้อมูลจะแปลงออกมาเป็นกระแสไฟฟ้า สัญญาณ internet มาพร้อมกับสัญญาณโทรศัพท์ แล้วมาแยกกันที่ปลายทาง โดยอีกสายเชื่อมเข้าโทรศัพท์ และอีกสายเชื่อมเข้า router ถ้าบ้านเรายิ่งห่างจากชุมสายสัญญาณจะต่ำลง (รับส่งข้อมูล < 1 kb/sec)
flickr:5263573868
,
flickr:5263574846
•Coaxial Cable สายทีวี ข้อมูลจะแปลงออกมาเป็นกระแสไฟฟ้า สัญญาณ internet มาพร้อมกับสัญญาณทีวี การ download เร็ว แต่ upload ช้า และต้อง share สัญญาณกับเพื่อนบ้าน (รับส่งข้อมูล < 1 kb/sec)
flickr:5263574024
,
flickr:5263573768
•Fiber-Optic Cable นิยมมากในปัจจุบัน ในรูปแบบของ internet ความเร็วสูง ในรูปของ Broad Band (speed > 1 mb) (ส่วน Narrow Band (speed < 1 mb)) สัญญาณจะถูกแปลงเป็นแสง สามารถรับส่งข้อมูลได้มากกว่า และถูกบิดเบือนน้อย แต่ราคาสูง การเชื่อมต่อระหว่างองค์กรขนาดใหญ่ (Black Bone)
flickr:5263570852
,
flickr:5262962723
Last Mile ระยะทางระหว่าง ISP กับ end user ใช้วัดคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้นๆ ถ้าใน Korea 90% จะเป็น Fiber-Optic Cable แต่ในไทยยังเป็น Twisted Pair Cable
2)Wireless Network (ไร้สาย) ต้นทุนต่ำ ยืดหยุ่นสูง ความปลอดภัยต่ำ ความสามารถในการทำ Roaming ต่ำเพราะข้อมูลลอยอยู่ในอากาศสามารถถูก intercept ได้ง่าย แต่ปัจจุบันมีระบบ security ของ Wi-Fi คือ WPA – wire protect access
flickr:5263571026
เพื่อให้อุปกรณ์ Wireless ที่มีอยู่ในท้องตลาดสามารถทำงานร่วมกันได้ บริษัทที่สร้างอุปกรณ์ Wireless ต้องสร้างตามมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นโดย The Institute of Electrical and Electronics Engineers (IEEE) ซึ่งเป็นองค์กรที่สร้างมาตรฐานการติดต่อสื่อสารในระบบ LAN ชื่อที่เป็นทางการของระบบ WLAN คือ IEEE 802.11b ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนติดตั้งระบบ WLAN ต้องพิจารณาอุปกรณ์เหล่านั้นว่าสร้างขึ้นตามมาตรฐานของ IEEE
Wireless Media 802.11 Standard
เทคโนโลยีตามมาตรฐาน IEEE 802.11 มีราคาไม่แพงนักและถูกลงเรื่อยๆ อีกทั้งมีสมรรถนะในการรับส่งข้อมูลค่อนข้างสูง ง่ายต่อการติดตั้งและใช้งาน IEEE 802.11 WLAN ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆและมีแนวโน้มว่าในอนาคตอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ต่างๆ จะมีอุปกรณ์ IEEE 802.11 WLAN ติดตั้งจากโรงงานหรือ Built-in มาด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ความง่ายและสะดวกต่อการติดตั้งและใช้งานของอุปกรณ์ IEEE 802.11 WLAN ก็นำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยของเครือข่ายด้วยเช่นกัน อีกทั้งเทคโนโลยี IEEE 802.11 WLAN อยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น (ยังไม่ถึงจุดสมบูรณ์และอิ่มตัว) ทำให้ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอีกมาก ดังนั้นผู้ที่เลือกใช้ IEEE 802.11 WLAN ควรมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและตระหนักถึงช่องโหว่ต่างๆรวมถึงการรักษา ความปลอดภัยอย่างเหมาะสม ซึ่งบทความนี้จะกล่าวถึงความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับมาตรฐาน IEEE 802.11 รวมถึงช่องโหว่และการรักษาความปลอดภัยสำหรับเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับมาตรฐาน IEEE 802.11
มาตรฐาน IEEE 802.11 ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2540 โดย IEEE (The Institute of Electronics and Electrical Engineers) และเป็นเทคโนโลยีสำหรับ WLAN ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด คือข้อกำหนด (Specfication) สำหรับอุปกรณ์ WLAN ในส่วนของ Physical (PHY) Layer และ Media Access Control (MAC) Layer โดยในส่วนของ PHY Layer มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้กำหนดให้อุปกรณ์มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 1, 2, 5.5, 11 และ 54 Mbps โดยมีสื่อ 3 ประเภทให้เลือกใช้ได้แก่ คลื่นวิทยุที่ความถี่สาธารณะ 2.4 และ 5 GHz, และ อินฟราเรด (Infarred) (1 และ 2 Mbps เท่านั้น) สำหรับในส่วนของ MAC Layer มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้กำหนดให้มีกลไกการทำงานที่เรียกว่า CSMA/CA (Carrier Sense Multiple Access/Collision Avoidance) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับหลักการ CSMA/CD (Collision Detection) ของมาตรฐาน IEEE 802.3 Ethernet ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปในเครือข่าย LAN แบบใช้สายนำสัญญาณ นอกจากนี้ในมาตรฐาน IEEE802.11 ยังกำหนดให้มีทางเลือกสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN โดยกลไกการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) และการตรวจสอบผู้ใช้ (Authentication) ที่มีชื่อเรียกว่า WEP (Wired Equivalent Privacy) ด้วย
วิวัฒนาการของมาตรฐาน IEEE 802.11
มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งอุปกรณ์ตามมาตรฐานดังกล่าวจะมีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 1 และ 2 Mbps ด้วยสื่อ อินฟราเรด (Infarred) หรือคลื่นวิทยุที่ความถี่ 2.4 GHz และมีกลไก WEP ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับสร้างความปลอดภัยให้กับเครือข่าย WLAN ได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากมาตรฐาน IEEE 802.11 เวอร์ชันแรกเริ่มมีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำและไม่มีการรองรับหลักการ Quality of Service (QoS) ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด อีกทั้งกลไกรักษาความปลอดภัยที่ใช้ยังมีช่องโหว่อยู่มาก IEEE จึงได้จัดตั้งคณะทำงาน (Task Group) ขึ้นมาหลายชุดด้วยกันเพื่อทำการปรับปรุงเพิ่มเติมมาตรฐานให้มีศักยภาพสูง ขึ้น โดยคณะทำงานกลุ่มที่มีผลงานที่น่าสนใจและเป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ IEEE 802.11a, IEEE 802.11b, IEEE 802.11g, และ IEEE 802.11n
• IEEE 802.11b
คณะทำงานชุด IEEE 802.11b ได้ตีพิมพ์มาตรฐานเพิ่มเติมนี้เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด มาตรฐาน IEEE 802.11b ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า CCK (Complimentary Code Keying) ผนวกกับ DSSS (Direct Sequence Spread Spectrum) เพื่อปรับปรุงความสามารถของอุปกรณ์ให้รับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 11 Mbps ผ่านคลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz (เป็นย่านความถี่ที่เรียกว่า ISM (Industrial Scientific and Medical) ซึ่งถูกจัดสรรไว้อย่างสากลสำหรับการใช้งานอย่างสาธารณะด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และการแพทย์ โดยอุปกรณ์ที่ใช้ความถี่ย่านนี้ก็เช่น IEEE 802.11, Bluetooth, โทรศัพท์ไร้สาย, และเตาไมโครเวฟ) ส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ IEEE 802.11 WLAN ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะเป็นอุปกรณ์ตามมาตรฐาน IEEE 802.11b นี้และใช้เครื่องหมายการค้าที่รู้จักกันดีในนาม Wi-Fi ซึ่งเครื่องหมายการค้าดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นโดยสมาคม WECA (Wireless Ethernet Compatability Alliance) โดยอุปกรณ์ที่ได้รับเครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าเป็น ไปตามมาตรฐาน IEEE 802.11b และสามารถนำไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ยี่ห้ออื่นๆที่ได้รับเครื่องหมาย Wi-Fi ได้
• IEEE 802.11a
คณะทำงานชุด IEEE 802.11a ได้ตีพิมพ์มาตรฐานเพิ่มเติมนี้เมื่อปี พ.ศ. 2542 มาตรฐาน IEEE 802.11a ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า OFDM (Orthogonal Frequency Division Multiplexing) เพื่อปรับปรุงความสามารถของอุปกรณ์ให้รับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 54 Mbps แต่จะใช้คลื่นวิทยุที่ความถี่ 5 GHz ซึ่งเป็นย่านความถี่สาธารณะสำหรับใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีสัญญาณ รบกวนจากอุปกรณ์อื่นน้อยกว่าในย่านความถี่ 2.4 GHz อย่างไรก็ตามข้อเสียหนึ่งของมาตรฐาน IEEE 802.11a ที่ใช้คลื่นวิทยุที่ความถี่ 5 GHz ก็คือในบางประเทศย่านความถี่ดังกล่าวไม่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างสาธารณะ ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยไม่อนุญาตให้มีการใช้งานอุปกรณ์ IEEE 802.11a เนื่องจากความถี่ย่าน 5 GHz ได้ถูกจัดสรรสำหรับกิจการอื่นอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งของอุปกรณ์ IEEE 802.11a WLAN ก็คือรัศมีของสัญญาณมีขนาดค่อนข้างสั้น (ประมาณ 30 เมตร ซึ่งสั้นกว่ารัศมีสัญญาณของอุปกรณ์ IEEE 802.11b WLAN ที่มีขนาดประมาณ 100 เมตร สำหรับการใช้งานภายในอาคาร) อีกทั้งอุปกรณ์ IEEE 802.11a WLAN ยังมีราคาสูงกว่า IEEE 802.11b WLAN ด้วย ดังนั้นอุปกรณ์ IEEE 802.11a WLAN จึงได้รับความนิยมน้อยกว่า IEEE 802.11b WLAN มาก
• IEEE 802.11g
คณะทำงานชุด IEEE 802.11g ได้ใช้นำเทคโนโลยี OFDM มาประยุกต์ใช้ในช่องสัญญาณวิทยุความถี่ 2.4 GHz ซึ่งอุปกรณ์ IEEE 802.11g WLAN มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่ 54 Mbps ส่วนรัศมีสัญญาณของอุปกรณ์ IEEE 802.11g WLAN จะอยู่ระหว่างรัศมีสัญญาณของอุปกรณ์ IEEE 802.11a และ IEEE 802.11b เนื่องจากความถี่ 2.4 GHz เป็นย่านความถี่สาธารณะสากล อีกทั้งอุปกรณ์ IEEE 802.11g WLAN สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ IEEE 802.11b WLAN ได้ (backward-compatible) ดังนั้นจึงมีแนวโน้มสูงว่าอุปกรณ์ IEEE 802.11g WLAN จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายหากมีราคาไม่แพงจนเกินไปและน่าจะมาแทนที่ IEEE 802.11b ในที่สุด ตามแผนการแล้วมาตรฐาน IEEE 802.11g จะได้รับการตีพิมพ์ประมาณช่วงกลางปี พ.ศ. 2546
• IEEE 802.11n
เป็นมาตรฐานใหม่ที่ทางWi-Fi Alliance กำลังอยู่ในช่วงการทดสอบ โดยคาดว่าจะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 74 Mbps และสูงสุดที่ 248 Mbps ซึ่งหมายถึงว่าความเร็วกว่ารุ่นก่อนถึงประมาณ 5 เท่า นอกจากนี้ก็ยังมีรัศมีทำการภาย ในอาคารที่ 70 เมตร และนอกอาคารที่ 160 เมตร เพิ่มความสามารถในการกันสัญญาณกวนจากอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ความถี่ 2.4GHz เหมือนกัน และสามารถรองรับอุปกรณ์มาตรฐาน IEEE 802.11b และ IEEE 802.11g ได้ คาดว่ามาตรฐาน IEEE 802.11n นี้จะเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2552
• IEEE 802.11e
คณะทำงานชุดนี้ได้รับมอบหมายให้ปรับปรุง MAC Layer ของ IEEE 802.11 เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานหลักการ Qualitiy of Service สำหรับ application เกี่ยวกับมัลติมีเดีย (Multimedia) เนื่องจาก IEEE 802.11e เป็นการปรับปรุง MAC Layer ดังนั้นมาตรฐานเพิ่มเติมนี้จึงสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ IEEE 802.11 WLAN ทุกเวอร์ชันได้ แต่อย่างไรก็ตามการทำงานของคณะทำงานชุดนี้ยังไม่แล้วเสร็จในขณะนี้ (พฤษภาคม พ.ศ. 2546)
• IEEE 802.11i
คณะทำงานชุดนี้ได้รับมอบหมายให้ปรับปรุง MAC Layer ของ IEEE 802.11 ในด้านความปลอดภัย เนื่องจากเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN มีช่องโหว่อยู่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ด้วย key ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง คณะทำงานชุด IEEE 802.11i จะนำเอาเทคนิคขั้นสูงมาใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลด้วย key ที่มีการเปลี่ยนค่าอยู่เสมอและการตรวจสอบผู้ใช้ที่มีความปลอดภัยสูง มาตรฐานเพิ่มเติมนี้จึงสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์ IEEE 802.11 WLAN ทุกเวอร์ชันได้ แต่อย่างไรก็ตามการทำงานของคณะทำงานชุดนี้ยังไม่แล้วเสร็จในขณะนี้ (พฤษภาคม พ.ศ. 2546)
ลักษณะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ IEEE 802.11 WLAN
มาตรฐาน IEEE 802.11 ได้กำหนดลักษณะการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ภายในเครือข่าย WLAN ไว้ 2 ลักษณะคือโหมด Infrastructure และโหมด Ad-Hoc หรือ Peer-to-Peer
1.โหมด Infrastructure
โดยทั่วไปแล้วอุปกรณ์ในเครือข่าย IEEE 802.11 WLAN จะเชื่อมต่อกันในลักษณะของโหมด Infrastructure ซึ่งเป็นโหมดที่อนุญาตให้อุปกรณ์ภายใน WLAN สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอื่นได้ ในโหมด Infrastructure นี้เครือข่าย IEEE 802.11 WLAN จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 2 ประเภทได้แก่ สถานีผู้ใช้ (Client Station) ซึ่งก็คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Desktop, Laptop, หรือ PDA ต่างๆ) ที่มีอุปกรณ์ Client Adapter เพื่อใช้รับส่งข้อมูลผ่าน IEEE 802.11 WLAN และสถานีแม่ข่าย (Access Point) ซึ่งทำหน้าที่ต่อเชื่อมสถานีผู้ใช้เข้ากับเครือข่ายอื่น (ซึ่งโดยปกติจะเป็นเครือข่าย IEEE 802.3 Ethernet LAN) การทำงานในโหมด Infrastructure มีพื้นฐานมาจากระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ กล่าวคือสถานีผู้ใช้จะสามารถรับส่งข้อมูลโดยตรงกับสถานีแม่ข่ายที่ให้บริการ แก่สถานีผู้ใช้นั้นอยู่เท่านั้น ส่วนสถานีแม่ข่ายจะทำหน้าที่ส่งต่อ (forward) ข้อมูลที่ได้รับจากสถานีผู้ใช้ไปยังจุดหมายปลายทางหรือส่งต่อข้อมูลที่ได้
าะสมาชิกขององค์กร หรือผู้ที่ได้รับสิทธิในการใช้งานเท่านั้น โดยผู้ใช้จากภายนอกที่เชื่อมต่อเข้ามาผ่านเครือข่ายเอกซ์ทราเน็ต อาจถูกแบ่งเป็นประเภท ๆ เช่น ผู้ดูแลระบบ สมาชิก คู่ค้า หรือผู้สนใจทั่วๆ ไป เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้แต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิในการเข้าใช้งานเครือข่ายที่แตกต่างกันไป
ความแตกต่างระหว่าง Internet, Intranet, Extranet คือ ทั้ง 3 ระบบใช้มาตราฐานเดียวกัน คือ TCP/IP แต่ที่แตกต่างกัน คือ รูปแบบการเข้าถึงโดย Internet เป็น Open Public ที่ทุกคนเข้าถึงได้, Intranet เป็นเครือข่ายภายในองค์กรให้เฉพาะพนักงานในการเข้าถึง, Extranet เป็นเครือข่ายที่เชื่อมระหว่างองค์กร เช่นในรูปแบบของบริษัทที่อยู่ใน supply chain
Development of the Web
World Wide Web หรือที่เรามักเรียกสั้นๆว่า Web หรือ W3 (WWW) คือ คอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งบนอินเตอร์เน็ต ที่ถูกเชื่อมต่อกันในแบบพิเศษที่ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสามารถเข้าถึง ข้อมูลเนื้อหาที่เก็บไว้ภายในของแต่ละเครื่องได้ (กลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่) โดยผ่านทาง บราวเซอร์ (Browser) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้อ่านและตอบโต้ข้อมูล ต่างๆที่มีอยู่ใน World Wide Web โดยเฉพาะ บราวเซอร์ที่พบเห็นได้มากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer ของ และ Netscape
ที่มาของ World Wide Web
ปี ค.ศ. 1990 ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) แห่งสถาบัน CERN (Center
European pour la Recherche Nucleaire) แห่งกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
(เวบไซต์ของ CERN ติดต่อที่ http://www.cern.ch)ได้ คิดค้นวิธีการถ่ายทอดเอกสารข้อมูลที่อยู่ในแบบไฮเปอร์เท็กซ์ ( hypertext) ซึ่งเป็นเอกสารที่นำเสนอทางเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ข้อมูลในแต่ละหน้าสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ มานำเสนอผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เอกสารแบบไฮเปอร์เท็กซ์นี้ เขียนขึ้นด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ เรียกว่าภาษา HTML (Hypertext Markup Language) เอกสารข้อมูลที่เขียนขึ้นด้วยภาษา HTML นี้ ต้องใช้โปรโตคอลแบบพิเศษ ชื่อ HTTP (Hypertext Transport Protocol) ช่วยในการสื่อสาร และรับส่งข้อมูลขณะเรียกใช้บริการเวิลด์ไวด์เว็บ ในระบบอินเทอร์เน็ต ในปี ค.ศ. 1993 สถาบัน NCSA (National Center for Supercomputing Application) แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้พัฒนาโปรแกรมที่เรียกว่า เว็บบราวเซอร์ (web browser) ชื่อ Mosaic ขึ้นมา ทำหน้าที่แปลคำสั่งและข้อมูลที่อยู่ในรูปของเอกสาร HTML ให้แสดงที่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้อย่างสวยงาม น่าดู อย่างที่เราพบเห็นบนในปัจจุบัน โปรแกรม Mosaic ถูกแจกจ่ายออกไปให้ผู้ใช้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จืงได้กลายมาเป็น โปรแกรมยอดนิยมไปทันที หลังจากนั้นมา บริษัทซอฟแวร์ชั้นนำต่าง ๆ จึงเริ่มพัฒนาโปรแกรมเว็บบราวเซอร์อื่น ๆออกจำหน่ายจ่ายแจก แก่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกหาโปรแกรม เว็บบราวเซอร์ มาใช้งานได้หลายโปรแกรม นอกจากจะใช้บริการดูข้อมูลจากเวิลด์ไวด์เว็บ แล้ว หลายโปรแกรมยังมีความสามารถอื่น ๆด้วย เช่น บริการสื่อสารด้วย E-mail การค้นข้อมูลแบบ Gopher การถ่ายโอนไฟล์ด้วย ftpเป็นต้น โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ได้เปลี่ยนโฉมหน้า การใช้ บริการอินเทอร์เน็ตในแบบเก่า ๆที่มีแต่ตัวอักษร ไปเป็นหน้าจอที่มีชีวิตชีวาด้วยสีสันและรูปภาพ และทำให้ผู้สามารถเข้าสู่บริการอินเทอร์เน็ตได้ง่ายกว่าเดิมมาก
ไฮเปอร์เท็กซ์ (Hypertext) คือ คำหรือวลีเรืองแสงหรือมีสีแตกต่างจากข้อความธรรมดา หรือ มีการขีดเส้นใต้ในเอกสารเว็บ เมื่อเรียกดูผ่านทางเว็บบราวเซอร์ ถ้าใช้เมาส์ชี้ที่ ไฮเปอร์เท็กซ์จะเห็นเป็นรูปมือ และเมื่อคลิกเมาส์ที่ไฮเปอร์เท็กซ์ โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ จะเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่นซึ่งอาจจะเป็นจุดอื่นในไฟล์เดียวกัน หรืออาจจะเชื่อมโยงไปยัง ไฟล์เอกสารอื่น หรือเว็บไซต์อื่น การเชื่อมโยงดังกล่าว เรียกว่า ไฮเปอร์ลิงก์ (hyperlink) ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของเอกสารเว็บ เมื่อเรียกดูผ่านทางเว็บบราวเซอร์ ไฮเปอร์มีเดีย(Hypermedia) หมายถึง ส่วนที่เพิ่มเติมจากไฮเปอร์เท็กซ์ นั่นคือนอกเหนือ จากการเชื่อมโยงข้อมูลในแบบตัวอักษรแล้ว เรายังสามารถเชื่อมโยงไปยังข้อมูลที่เป็นรูปภาพ ภาพถ่าย วิดีโอ เสียง ภาพสามมิติ ภาพเคลื่อนไหว ได้ด้วย
flickr:5263573710
Internet ไม่มีเจ้าของ แต่มีหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐาน ส่วน Web เป็นหนึ่งใน applicationของ Internet ซึ่ง web นี้มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลง internet คือทำให้ internet ถูกเข้าถึงได้ง่าย และถูกพัฒนาขึ้นโดย Tim Berners Lee
เว็บบราวเซอร์ (web browser) คือ โปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ ที่ทำหน้าที่ติดต่อกับ เว็บเซอร์เวอร์ เพื่อขอดูเอกสารข้อมูลเวิลด์ไวด์เว็บ เมื่อได้รับแฟ้มเอกสารที่ขอไป ก็นำมาแสดงบนจอภาพ เราเรียกรายละเอียดของเอกสารข้อมูลที่เว็บบราวเซอร์นำมาแสดงบนจอว่า เอกสารเว็บ (web document) ในปัจจุบัน มีบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ หลายรายได้พัฒนาโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ออกมาให้ใช้งานกันมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกขณะ เช่น NCSA Mosaic, Cello, Netscape Navigator, Internet Explorer, HotJava, และ Win Web เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใช้สามารถโอนถ่าย โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ นำมาทดลองใช้ได้ฟรี ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท แต่ก็มีอีกหลายแห่ง ที่แจกให้ใช้ฟรีจริงๆ เว็บบราวเซอร์ที่กล่าวถึงข้างต้น ล้วนมีความสามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นรูปภาพและมีสีสันสวยงามได้ แต่สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลที่เป็นตัวหนังสืออย่างเดียวซึ่งจะเรียกดูข้อมูล ได้ รวดเร็ว ก็อาจจะเลือกใช้โปรแกรม Lynx ซึ่งเคยเป็นเว็บบราวเซอร์แบบตัวอักษรที่มีผู้นิยมมากในระยะหนึ่ง โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ของแต่ละบริษัท มีความแตกต่างกันในความสามารถและรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ความเร็วในการทำงาน การสิ้นเปลืองหน่วยความจำของเครื่อง การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล การรองรับภาษา HTML ในระดับที่ไม่เท่ากัน เป็นต้น
เว็บบราวเซอร์ อันแรกคือ Mosaic แต่ไม่ได้ใช้ในทางพาณิชย์ ส่วน web browser แรกที่ใช้ในทางพาณิชย์คือ Netscape และต่อมาคือ Internet Explorer
เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องบริการเว็บเพจแก่ผู้ร้องขอด้วย โปรแกรมประเภทเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ที่ร้องขอข้อมูลผ่านโปรโตคอลเฮชทีทีพี (HTTP = Hyper Text Transfer Protocol) เครื่องบริการจะส่งข้อมูลให้ผู้ร้องขอในรูปของข้อความ ภาพ เสียง หรือสื่อผสม เครื่องบริการเว็บเพจมักเปิดบริการพอร์ท 80 (HTTP Port) ให้ผู้ร้องขอได้เชื่อมต่อและนำข้อมูลไปใช้ เช่น โปรแกรมอินเทอร์เน็ตเอ็กโพเลอร์ (Internet Explorer) หรือฟายฟร็อก (FireFox Web Browser) การเชื่อมต่อเริ่มด้วยการระบุที่อยู่เว็บเพจที่ร้องขอ (Web Address หรือ URL = Uniform Resource Locator) เช่น http://www.google.com หรือ http://www.thaiall.com เป็นต้น โปรแกรมที่นิยมใช้เป็นเครื่องบริการเว็บ คือ Apache Web Server หรือ Microsoft IIS (Internet Information Server) ส่วนบริการที่นิยมติดตั้งเพิ่ม เพื่อเสริมความสามารถของเครื่องบริการ เช่น ตัวแปลภาษาสคริปต์ ระบบฐานข้อมูล ระบบจัดการผู้ใช้ และระบบจัดการเนื้อหา เป็นต้น
Web server ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล web page ในการติดต่อ web browser จะ request ข้อมูลไปที่ web server และ web server ก็จะส่งข้อมูลนั้นกลับมา
Trend
1)Convergence การติดต่อจะเป็นรูปแบบของ multimedia, voice
2)Broadband อนาคตจะใช้ Fibre-optic
3)Broadband wireless อนาคตจะใช้ WiMax, Wipro, 4G
4)Web 2.0 ข้อมูลเกิดจากเจ้าของ web หรือผู้ใช้ เช่น U-tube, Facebook, Hi5
flickr:5263719882
Issue อะไรคือปัญหาของ internet ในปัจจุบัน
1)Internet abuse in workplaces ใช้ internet ในทางที่ผิด ในที่ทำงานจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงหรือไม่ ถ้าพนักงานทำผิดทางเครือข่ายในที่ทำงาน บริษัทมีส่วนต้องรับผิดหรือไม่
2)Internet Addiction โรคติด internet เรียกว่า information ต้องเชื่อมต่อกับ internet ตลอดเวลา
3)Net Neutrality ปัจจุบัน charge ค่าใช้ internet เท่ากันหมด ในอนาคตควร charge ราคาการใช้ internet ควรคิดตามปริมาณตามการรับส่งข้อมูลหรือไม่ ควรมีการ charge web server ที่มีข้อมูลมากๆเช่น U-tube
4)Laws and Regulations กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เพราะการกระทำผิดในอีกประเทศ ผลกระทบมีในอีกประเทศ และ server อยู่ในอีกประเทศ ปัญหาคือกฎหมายจะช้ากว่า technology ประมาณ 5 ปี
5)Digital Divide ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึง internet หรือ computer

Comments

Popular Posts